บ้านปู แง้มทริค “ปั้นโปรไฟล์ธุรกิจ SE” อย่างไรให้โดนใจนักลงทุน พร้อมชวนติดตามพัฒนาการธุรกิจ SE ใน BC4C ปีที่ 12

บ้านปู แง้มทริค “ปั้นโปรไฟล์ธุรกิจ SE” อย่างไรให้โดนใจนักลงทุน พร้อมชวนติดตามพัฒนาการธุรกิจ SE ใน BC4C ปีที่ 12

กิจการเพื่อสังคมหรือ Social Enterprise (SE) อาจเกิดจากการมี “ไอเดียเพื่อสังคมที่ดี” แต่การจะทำธุรกิจ SE ให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนนั้นต้องมีแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบหวังผลที่ชัดเจนและพร้อมที่จะนำเสนอให้กับนักลงทุนที่สนใจ ดังนั้นนอกเหนือจากการสร้างความเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว การมี “โปรไฟล์ธุรกิจที่น่าเชื่อถือ” จึงเป็นสิ่งที่ SE ควรให้ความสำคัญ เพราะมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชนร่วมกับ สถาบัน ChangeFusion ในฐานะผู้สนับสนุนกิจการเพื่อสังคมมาอย่างยาวนาน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการกิจการ SE ให้สามารถสร้างโปรไฟล์ธุรกิจให้แข็งแกร่ง ผ่านการดำเนินโครงการ Banpu Champions for Change (BC4C) โดยโครงการฯ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนธุรกิจและปั้นโปรไฟล์แบบมืออาชีพ มาช่วยเพิ่มทักษะในการทำโปรไฟล์ธุรกิจและพัฒนาศักยภาพให้กับผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคม เพื่อทำให้ SE สามารถระดมทุนและสร้างการเติบโตได้ต่อเนื่อง  

ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ BC4C ได้คัดเลือก SE ที่มีประสบการณ์และผ่านการดำเนินธุรกิจมาระยะหนึ่ง ที่ต้องการโตขึ้นไปอีกขั้นจำนวน โครงการมาเข้าร่วมกระบวนการพัฒนาศักยภาพกิจการระยะขยายผล (Acceleration Program) ซึ่งหนึ่งในกระบวนการหลักที่ผู้เข้าร่วมจะได้รับการพัฒนาคือการสร้างโปรไฟล์ธุรกิจ ที่ตอบโจทย์สิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็น 

  • กุญแจสำคัญ ช่วยปั้นโปรไฟล์ธุรกิจ SE ให้ดึงดูดนักลงทุน 

นางสาวไฮดี้ เหลิ่ง ผู้จัดการฝ่ายบริหารธุรกิจแห่ง ChangeFusion ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนธุรกิจในกิจการเพื่อสังคม เผยว่า หลักสำคัญในการพัฒนาโปรไฟล์ธุรกิจ (Business Profile) เพื่อเพิ่มโอกาสในการร่วมลงทุนของนักธุรกิจได้นั้น ผู้ประกอบการควรยึด 5 ข้อสำคัญดังนี้   

  • ต้องชัดเจนว่าธุรกิจของตนอยู่ในอุตสาหกรรมใด 

          การกำหนดแนวทางและวางตำแหน่ง (Position) ของธุรกิจตัวเองในอุตสาหกรรมที่แน่ชัด จะส่งผลต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจและมีแหล่งอ้างอิงในการวางแผนพัฒนากลยุทธ์ในอนาคต ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเห็นภาพและสามารถประเมินการเติบโตได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

  • การแสดงข้อมูลสถิติที่ดึงดูดนักลงทุน (Traction) เพื่อประกอบการตัดสินใจ 

    ไม่ว่าจะด้วยการแสดงสถิติจำนวนผู้ใช้งานในปัจจุบัน รายรับ รายได้ กำไร สถิติการกลับมาซื้อซ้ำ เป็นต้น รวมถึงความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เพื่อแสดงให้เห็นความถนัดของผู้ประกอบการ สร้างความเชื่อมั่นว่าธุรกิจนี้มีโอกาสที่จะขยายฐานลูกค้ารวมถึงการสร้างรายได้ได้จริง 

  • มีแผนและแนวทางขยายกิจการในอนาคต 

    ผู้ประกอบการต้องสามารถแสดงถึงวิสัยทัศน์และแผนงานระยะยาว โดยมีการวางแผนกิจกรรม วางแผนการเงิน (Financial Planning) การคาดการณ์ทางการเงิน (Financial Forecasts) ให้นักลงทุนรับทราบแผนอย่างชัดเจน

  • เข้าใจบริบทในการสร้างอิมแพคกับสังคม (Social Impact)

    กล่าวคือ Business Model จะต้องสามารถสร้างผลลัพธ์ทางสังคมได้ ทั้งสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม สังคมหรือชุมชนนั้นๆ ได้จริงและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถทำได้โดยการชักชวนกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ที่มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจ  

  • มีแผนบริหารและจัดการความเสี่ยง 
  • หลายๆ ครั้งผู้ประกอบการมักไม่ได้ให้ความสนใจหรือมองข้ามส่วนนี้ไป ซึ่งจริงๆ การมีแผนวิเคราะห์ความเสี่ยงและแผนรับมือ จะทำให้ผู้ประกอบการมีความเป็นมืออาชีพ พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลง และเพิ่มความน่าเชือถือให้กับพอร์ตธุรกิจได้อย่างมาก ถือเป็นส่วนสำคัญที่สามารถดึงดูดนักลงทุนได้

“สำหรับกิจการที่มาเข้าร่วม Acceleration Program โดยส่วนใหญ่ ที่แม้จะมีรากฐานที่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง แต่ยังขาดเรื่องราวความน่าสนใจและแผนธุรกิจระยะยาวที่จะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาสนับสนุน ตลอดจนสร้างความมั่นคงให้ตนเองจนสามารถดำเนินกิจการได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น การสร้างโปรไฟล์ธุรกิจที่ดี นอกจากช่วยสนับสนุนการเจรจากับนักลงทุนได้อย่างครบถ้วนและตรงประเด็นแล้ว ยังช่วยตีกรอบให้ธุรกิจสามารถเดินไปข้างหน้าได้โดยไม่หลงทาง” นางสาวไฮดี้ กล่าว

  • จัดการตัวเองอย่างไรให้เป็น SE ที่นักลงทุนชอบ ด้วย “เครื่องพิสูจน์-การนำเสนอ”  

นายสมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ Head of Corporate Venture Capital บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนได้ให้คำแนะนำว่า “ประเภทของนักลงทุนที่จะลงทุนใน SE คือคนที่อยู่ในแวดวง Impact Fund หรือกองทุนบนหลักการแห่งความยั่งยืน สิ่งแรกที่นักลงทุนประเภทนี้มองหา คือ การมี เครื่องพิสูจน์’ ว่าธุรกิจสามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง ทั้งด้านผลกำไรและผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรม มีการวางแผนรับมือหรือบริหารจัดการธุรกิจในภาวะวิกฤตอย่างไร มีความสามารถในการสร้างรายได้ในระยะยาวมากแค่ไหน รวมถึงมีทิศทางการเติบโตของธุรกิจและความสามารถในการมอบผลตอบแทนได้ในสัดส่วนที่ตกลงกันในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ เช่น ธุรกิจจะมีแนวโน้มการเติบโตหรืออยู่รอดอย่างไร ภายในเวลา 3-5 ปี” 

“นอกจากนี้ การมี การนำเสนอ (Presentation) ที่ดีและสอดคล้องกับความสนใจของนักลงทุน ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะนอกจากตัวเลขผลประกอบการ กำไร นักลงทุนยังมองหาตัวเลขที่แสดงถึงผลกระทบด้านอื่นๆ ด้วย อาทิ หากลงทุนใน SE นี้แล้วจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้จำนวนกี่ราย หรือลดอัตราการเจ็บป่วยของผู้ป่วยได้ในสัดส่วนกี่เปอร์เซนต์ ดังนั้น หาก SE สามารถพัฒนาทักษะการนำเสนอ ไปพร้อมกับการตีกรอบปัญหาที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพได้ จะช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนธุรกิจได้เป็นอย่างดี” นายสมิทธิพร กล่าว 

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าแนวทางในการสร้าง Business Profile ที่ดีนั้น ไม่ได้พึ่งพาเพียงความแน่วแน่ในการทำธุรกิจเพื่อสังคมเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความรู้ด้านธุรกิจที่ลึกซึ้ง เพื่อให้กิจการ SE สามารถเสริมจุดเด่น แก้ไขจุดด้อย สร้างการเติบโตในระดับที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้อีกด้วย จึงเป็นต้นกำเนิดของ Acceleration Program ภายใต้โครงการ BC4C

ด้าน นายรัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส-สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีนี้ เราได้สานต่อกิจกรรม Acceleration Program โดยได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวง Impact Fund มาให้คำแนะนำการสร้างโปรไฟล์ธุรกิจที่ตอบโจทย์นักลงทุน ซึ่งหลังจาก SE ทั้ง 6 ทีมที่ผ่านเข้ารอบมาแล้วในปีนี้ มีโปรไฟล์ธุรกิจที่พร้อมแล้ว เราก็จะสานต่อกิจกรรมเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้นำเสนอธุรกิจกับนักลงทุนตัวจริง ในช่วงปลายเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม 2566 เพื่อโอกาสในการต่อยอดธุรกิจและสร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคมที่กว้างขึ้นได้จริง ทั้งนี้ เราหวังว่าการเพิ่มศักยภาพและช่วยต่อยอดธุรกิจของ SE ภายใต้โครงการดังกล่าว จะช่วยให้ประเทศของเรามีจำนวน SE ที่แข็งแกร่งและพร้อมที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้แก่ชุมชนได้ในระยะยาว