SCGD แถลงข่าวผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 กวาดรายได้ 6.7 พันล้านบาท กำไรเพิ่ม 44%

SCGD แถลงข่าวผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 กวาดรายได้ 6.7 พันล้านบาท กำไรเพิ่ม 44%

บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD ผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน มั่นใจหากตลาดอาเซียนทยอยฟื้นตัวตามเป้าหมาย จะทำให้ยอดขายเติบโต 2 เท่า เป็นประมาณ หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 แถลงผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2567  ยอดขายลดลงเล็กน้อยแต่กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 เทียบไตรมาสก่อน และร้อยละ 28 เทียบกับปีก่อน ประเดิมไตรมาสแรกอนุมัติเงินลงทุน โครงการ 290 ล้านบาทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต พร้อมรอรับอานิสงส์งจากโครงการลงทุนที่จะทยอยแล้วเสร็จกลางปีนี้

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส ปี 2567 ของ SCGD ว่า แม้ว่าบริษัทฯ จะมีรายได้จากการขาย 6,784 ล้านบาท  ลดลงร้อยละ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่บริษัทฯ มีกำไร 258 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (หากไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง และรายการ Non-Recurring อื่นๆ ในปีก่อนหน้า) จากการที่บริษัทสามารถยืนราคาขายสินค้ากระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ได้ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยสามารถขายสินค้าที่มีกำไรสูงในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงโครงการลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตต่าง ๆ ที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการ และต้นทุนพลังงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา SCGD จึงได้รับการอนุมัติให้ลงทุนอีก 290 ล้านบาทใน โครงการ โดยเป็นโครงการเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ได้แก่ โครงการลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ 5.5 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 140 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนและลดต้นทุนพลังงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณต้นปี 2568 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคลังสินค้า เงินลงทุน 70 ล้านบาท โดยการติดตั้งระบบบริหารคลังสินค้าและรถยกระบบอัตโนมัติ และ โครงการไลน์การผลิตกระเบื้องขนาดใหญ่ที่หนองแค เงินลงทุน 80 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ภายในสิ้นปี 2567

นอกจากนี้ ยังมีโครงการลงทุนเพื่อลดต้นทุนพลังงานที่ได้ลงทุนไปแล้ว และคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปีนี้ ได้แก่ โครงการติดตั้ง Hot Air Generator เพื่อลดต้นทุนพลังงานที่โรงงานในประเทศไทยอีก แห่ง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้ และ โครงการปรับปรุงสายการผลิตกระเบื้องไวนิล SPC โดยจะเริ่มผลิตกระเบื้องไวนิล SPC สำหรับป้อนตลาดในประเทศไทยได้ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ด้วยกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี ที่สำคัญ SCGD ยังมีโครงการลงทุนในเวียดนามที่จะทยอยแล้วเสร็จพร้อมเริ่มดำเนินการได้ตามแผนงานภายในปี 2567 ได้แก่ โครงการการผลิตสินค้ากลุ่ม กระเบื้องพอร์ซเลน” และ กระเบื้องขนาดใหญ่ อีก 2.2 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศเวียดนาม และ โครงการการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลน 9.1 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงปลายปี 2567 โดยโครงการลงทุนทั้งหมดเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิตตามแนวทางของ ESG รวมถึงปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตต่างๆ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค และเตรียมธุรกิจให้พร้อมต่อการเติบโตตามการฟื้นตัวของตลาดในอนาคต

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD กล่าวว่า  สถานการณ์ตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ในประเทศไทยในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นไปตามคาดการณ์ โดยยอดขายหลักกว่า 60% มาจากธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและธุรกิจสุขภัณฑ์ในประเทศไทย ขณะที่ยอดขายในต่างประเทศโดยรวมยังรอการฟื้นตัว

สำหรับไตรมาสที่ 2 คาดว่าประเทศไทยจะมีปัจจัยบวกซึ่งเป็นผลจากการผ่านงบประมาณประจำปีทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของภาครัฐ จะสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

ด้านสถานการณ์ตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ ในภูมิภาคอาเซียน ในส่วนของประเทศเวียดนาม จากความคืบหน้าในเรื่องกฎหมายที่ดินฉบับใหม่เพื่อปฏิรูปกระบวนการบริหารที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและจัดทำฐานข้อมูลที่ดินระดับชาติ  แม้ว่าจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 2568 แต่คาดว่าจะเป็นแรงผลักดันที่ช่วยสร้างบรรยากาศและกระตุ้นให้วงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศเวียดนามมีความคึกคักมากขึ้นตั้งแต่ปีนี้ ด้านประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียคาดว่าจะฟื้นตัวจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่จะดีขึ้

SCGD มั่นใจว่าตลาดอาเซียนจะฟื้นตัวตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ 4-5% ดังนั้น จึงตั้งเป้าหมายรายได้โดยรวมเพิ่มเป็น เท่า หรือประมาณ หมื่นล้านบาทภายในปี 2573 ด้วย 4 กลยุทธ์ คือ

  1. สร้างการเติบโตให้ธุรกิจตกแต่งพื้นผิวกระเบื้องปูพื้นและบุผนัง ผ่านแผนดำเนินการที่สำคัญต่าง ๆ ได้แก่ ขยายการลงทุนโรงงานในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนาม เพิ่มยอดขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าและสร้างฐานการจัดหาสินค้าร่วมกัน (Business Sourcing)  ขยายเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่าย และเพิ่มยอดขายสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น วัสดุปิดผิวไวนิล SPC และกระเบื้องเกลซพอร์ซเลน
  2. ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ในอาเซียน ด้วยการต่อยอดจากช่องทางจัดจำหน่ายของธุรกิจตกแต่งพื้นผิว และขยายการลงทุนโรงงานสุขภัณฑ์ใหม่ในอาเซียน โดยตั้งเป้าหมายยอดขายสุขภัณฑ์เติบโต 2 เท่า หรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาสที่ผ่านมา SCGD ได้เร่งดำเนินการตามกลยุทธ์ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ในอาเซียนซึ่งเป็นอีก 1 ธุรกิจหลักของ SCGD มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% โดยเร่งขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพิ่มตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศต่อยอดจากช่องทางการจัดจำหน่ายของธุรกิจตกแต่งพื้นผิว ในเวียดนามจากเดิม 17 รายเป็น 39 ราย ฟิลิปปินส์ จากเดิม 78 รายเป็น 85 ราย และอินโดนีเซีย จากเดิม 28 ราย เป็น 37 ราย ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์รวม 161 ราย ใน 3 ประเทศดังกล่าว
  3. ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจรและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง   เช่น กาวและยาแนว ประตู หน้าต่าง และชุดเฟอร์นิเจอร์ครัว และอื่น ๆ โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง
  4. M&P (Merger & Partnership) ลงทุนเพื่อควบรวมกิจการและสร้างความร่วมมือกับเจ้าของกิจการเดิมในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวธุรกิจสุขภัณฑ์ และธุรกิจผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องทั้งใน และต่างประเทศ