MC ท็อปฟอร์ม! งวด 9 เดือน ปีบัญชี 67 กำไร 577 ล้านบาท พุ่งเฉียด 10%

MC ท็อปฟอร์ม! งวด 9 เดือน ปีบัญชี 67 กำไร 577 ล้านบาท พุ่งเฉียด 10%

แม็คกรุ๊ป” โชว์ผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง ไตรมาส รวด!!!  งวด เดือน ปีบัญชี 2567 โกยรายได้ 3,178 ล้านบาท มีกำไร 577 ล้าน เดินหน้าทำสถิติสูงสุด

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปีบัญชี 2567 (1.ค. 2566 - 31 มี.ค. 2567) ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 525 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 17.9% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับสูง ที่ระดับ 64.1% โดยในงวด 9 เดือนบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 346 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“รายได้และกำไรของบริษัทฯ ในงวด 9 เดือน เติบโตแข็งแกร่ง ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ผลจากกำลังซื้อทั้งออฟไลน์ และการขยายสาขา รวมไปถึงการเติบโตของช่องทางออนไลน์”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แม็คกรุ๊ป กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีบัญชี 2567 (1.ค. 2567 - 31 มี.ค. 2567) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 163 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 16.4% โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้ารวม 995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่เป็นตามคาดหมาย และยังมีความกังวลต่อสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลและขบวนการฮามาส ปัญหาภัยแล้งและ PM 2.5 ทำให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่การที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการปรับลดค่าไฟ ลดราคาน้ำมันดีเซล การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวหลังจากการเปิดประเทศ รวมไปถึงการเปิดฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้น ช่วยสนับสนุนให้ยอดขายของบริษัทฯ รวมไปถึงการเปิดช่องทางการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะ Mc Outlet ณ สิ้นงวด 9 เดือน มีสาขาแล้วทั้งสิ้น 129 สาขา 

ทั้งนี้ในไตรมาส 3 ปีบัญชี 2567 มีสัดส่วนรายได้จากช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) ซึ่งเป็นช่องทางหลัก โดยมีสัดส่วนรายได้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 70% จากเดิม 65% โดยมีช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง 421 สาขาเพิ่มขึ้น 18 สาขา จากสิ้นปีบัญชี 2566 อยู่ที่ 403 สาขา และมีรายได้ 693 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69 ล้านบาท หรือ 11% ขณะที่งวด 9 เดือน มีรายได้ 2,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 312 ล้านบาท หรือ 16.8%, ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) ที่มีสัดส่วน 9% มีรายได้ 90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% ขณะที่งวด 9 เดือน มีรายได้จากการขาย 319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79 ล้านบาทหรือ 33% ขณะที่ช่องทางขายผ่านห้างสรรพสินค้า (Department Store) มีสัดส่วน 19 % มีรายได้ 187 ล้านบาท ลดลง 12.9%  ขณะที่งวด 9 เดือน มีรายได้จากการขาย 608 ล้านบาท ลดลง 32 ล้านบาท หรือ 5%

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นและทำสถิติสูงสุด ฝ่าทุกๆ วิกฤตที่เกิดขึ้นมาได้ จากการที่บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์การทำธุรกิจที่ชัดเจน และยังคงเดินหน้าดำเนินงานตามแผน การควบคุมค่าใช้จ่ายแบบ 360 องศา รวมไปถึงการจับมือกับพันธมิตรในการทำธุรกิจ และการนำเสนอคอลเลกชั่นใหม่ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 กลุ่มบริษัทฯ มีส่วนผู้ถือหุ้น 3,613 ล้านบาท ลดลง 109 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 30 มิ.ย. 2566 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,721 ล้านบาท จากการจ่ายเงินปันผลออกไปให้กับผู้ถือหุ้น 681 ล้านบาท ขณะที่เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น อยู่ที่ 1,487 ล้านบาท ลดลง 240 ล้านบาท เนื่องจากมีการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานงวด เดือนแรกของปีบัญชี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเกือบ 100% ของกำไรสุทธิ และยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลในสัดส่วนเกือบ 100% ของกำไรสุทธิต่อเนื่อง รวมไปถึงการลงทุนในการขยายจุดขาย และการจัดเตรียมวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมการผลิตสินค้าจำหน่ายต่อไป