“CORAL LIFE” เจ้าของนวัตกรรมอาคารประหยัดพลังงานระดับโลกสัญชาติไทยแท้ ก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ! ได้รับเชิญให้แบ่งปันความรู้ในงาน Regional Workshop : Promoting Passive Cooling Strategies in Building Sector Policy and Practice ซึ่งจัดขึ้นโดย 2 องค์กรยักษ์ใหญ่ภายใต้ UN (United Nations)

“CORAL LIFE” เจ้าของนวัตกรรมอาคารประหยัดพลังงานระดับโลกสัญชาติไทยแท้ ก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ! ได้รับเชิญให้แบ่งปันความรู้ในงาน Regional Workshop : Promoting Passive Cooling Strategies in Building Sector Policy and Practice ซึ่งจัดขึ้นโดย 2 องค์กรยักษ์ใหญ่ภายใต้ UN (United Nations)

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไม “CORAL LIFE” ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการบูรณาการอาคารประหยัดพลังงาน ถึงเป็นบริษัทไทยหนึ่งเดียวที่ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงาน Promoting Passive Cooling Strategies in Building Sector Policy and Practice? มันเป็นเพราะอะไรที่ทำให้บริษัทนี้โดดเด่นจนถึงขนาดที่ได้รับเชิญให้มาแสดงนวัตกรรมการสร้าง Passive Design ในงาน Regional Workshop ซึ่งจัดขึ้นโดยสององค์กรยักษ์ใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง UNEP และ ESCAP ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ UN (United Nations) มาค้นหาคำตอบกัน!

ในปัจจุบัน มนุษย์ทุกคนกำลังเผชิญกับผลกระทบรุนแรงจากภาวะโลกร้อนและมลพิษ ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อ "เงิน" ที่ต้องใช้ในการแก้ไขปัญหาและเพื่อความสะดวกสบายของตัวเองและครอบครัวเมื่ออยู่ในบ้านหรือที่พักอาศัย และเมื่อพิจารณาในมุมของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายในการลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าเพื่อควบคุมต้นทุนการบริการและการผลิต ส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดค่าไฟฟ้า แต่สำหรับภาคอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ขนาดใหญ่ การพึ่งพาพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการจ่ายไฟฟ้าให้ครบถ้วน และไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น “อาคารประหยัดพลังงานมากกว่า 70% และมีอากาศที่ดีด้วย” จึงสำคัญ

CORAL LIFE คือใคร?

ด้วยประสบการศึกษาพัฒนาโครงการเชิง Sustainability มากกว่า15 ปี จึงนำมาสู่ Coral Life ที่ก่อตั้งมากว่า7ปี และเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ให้บริการ “Energy Service Company” ในแบบ Total Solution ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โดยไม่ใช่แค่ดีไซเนอร์หรือบริษัทก่อสร้างธรรมดา แต่เป็นธุรกิจที่มีโมเดลทางธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร ได้รับความสนใจจากประเทศที่ก้าวหน้าในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา และแน่นอนในประเทศไทยด้วย

CORAL LIFE เป็นทั้งนักออกแบบด้านพลังงานและนักก่อสร้างที่มีความเชี่ยวชาญในวัสดุ วิธีการก่อสร้าง และการออกแบบ รวมถึงการเป็น “Energy Service Company” (ESCO) ที่มุ่งเน้นการขายประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและการสร้างสภาพอากาศที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถวัดผลได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพสูงสุด

Coral Life เป็นผู้นำในด้านวิทยาศาสตร์วัสดุและการออกแบบระบบ HVAC โดยร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Saint-Gobain ซึ่งเป็นผู้นำด้านวัสดุนวัตกรรมที่มีนักวิจัยมากกว่า 3,700 คนและมีประวัติยาวนานถึง 359 ปี Saint-Gobain ดำเนินกิจการใน 67 ประเทศ มีพนักงานมากกว่า 170,000 คน และบริหารจัดการแบรนด์ต่างๆ กว่า 20 แบรนด์ ความร่วมมือที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือกับ Zehnder Switzerland ความร่วมมือนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระบบ HVAC ที่เหมาะสำหรับสภาพอากาศร้อนและชื้นของเอเชีย ผ่านความร่วมมือเหล่านี้ Coral Life ยังคงทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเพื่อปรับปรุงโซลูชันที่ครอบคลุมซึ่งนำเสนอให้กับลูกค้า

เมื่อวันที่ 15 และ 16 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัท CORAL LIFE ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงาน Regional Workshop: Promoting Passive Cooling Strategies in Building Sector Policy and Practice ซึ่งจัดขึ้นโดยสององค์กรใหญ่ภายใต้สหประชาชาติ (UN) ได้แก่ ESCAP (คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าคณะกรรมาธิการภูมิภาคภายใต้คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (ECOSOC) และ UNEP (โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ) ที่เน้นให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งผลักดันนโยบายนี้ให้เป็นนโยบายระดับโลก นโยบายระดับชาติ และสร้างความเข้าใจในทุกหน่วยงาน

CORAL LIFE กับบทบาทสำคัญความเป็นผู้นำด้าน "อาคารประหยัดพลังงานระดับโลก (Passive Design)" ในงาน workshop

ภายในงานคุณเฑียร จึงวิรุฬโชตินันท์ Head of Marketing, Coral Life ได้รับเชิญขึ้นกล่าวถึงบทบาทสำคัญของการเป็นผู้นำหนึ่งเดียวใน South East Asia ด้าน "Passive Design" โดยเผยว่า Concept ‘The Future is Clean, The Future is Cool’ คือ Mission ของบริษัท โดยเรามีนวัตกรรม พันธมิตร วัสดุ และประสบการณ์ที่เพียบพร้อม เรามีบ้านตัวอย่างที่ได้รับการทดลองประสิทธิภาพแล้ววัดผลได้จริง ชัดเจน จึงสามารถพิสูจน์ได้ว่า Solution ที่เรากำลังส่งมอบ น่าสนใจมาก

“CORAL LIFE คือนักสร้างบ้านผู้เชี่ยวชาญการบูรณาการ "Passive Design" หรือการออกแบบด้วยหลักวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ ไร้มลพิษ และที่สำคัญคือประหยัดไฟอย่างน้อย 70%”

“CORAL LIFE ส่งมอบอาคารใหม่และอาคารปรับปรุงใหม่ที่สามารถประหยัดพลังงานได้อย่างน้อย 70% พร้อมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่มีอากาศบริสุทธิ์คุณภาพสูง อาคารทั้งหมดที่เราดูแลมีระดับการใช้พลังงาน (Energy Use Intensity: EUI) ไม่เกิน 70 kWh/m²/ปี ลูกค้าของเรามีตั้งแต่หน่วยงานราชการและภาคเอกชน รวมถึงโรงพยาบาล โรงเรียน สำนักงาน และที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล ตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถลดค่าไฟฟ้ารายเดือนของอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ PTT มาบตาพุด ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย และสำนักงานแห่งใหม่ของสถาปนิกชื่อดัง A49 ของประเทศไทย ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ อาคารปรับปรุงใหม่ของบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในกรุงเทพฯ จากค่าไฟฟ้าต่อเดือน 500,000 บาท เหลือเพียง 100,000 บาทต่อเดือน ซึ่งลดลงถึง 80% จากระบบระบายความร้อน Passive Cooling ของเรา ซึ่งถือเป็นโซลูชันที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ กรังด์ปรีซ์ฯ ยังเป็นลูกค้า CORAL LIFE ได้รับรางวัล อาคารผ่านเกณฑ์มาตรฐานได้รับตราสัญลักษณ์ MEA ENERGY AWARDS 2023 (โครงการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร) จากกระทรวงพลังงานแห่งประเทศไทย และห้าง Index living Mall ที่ตั้งเป้าเป็นห้าง Sustainable Design ที่ทางบริษัทกำลังดำเนินงานก่อสร้างด้วยระบบ Passive Design"

เรารู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสแบ่งปันความรู้ในภาพรวม การสร้างอาคารในลักษณะนี้ต้องอาศัยแนวคิดและการออกแบบที่ผสมผสานทั้งระบบ passive ที่ไม่ใช้ไฟฟ้า และระบบ active ที่ใช้ไฟฟ้า ผลลัพธ์ของเรานั้นโดดเด่นติดอันดับต้นๆ ของโลก โดยสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ถึง 70-80% ทาง UN เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงเชิญเราเข้ามาเพื่อแบ่งปันความรู้และช่วยกระจายความเข้าใจในการดูแลโลกอย่างยั่งยืน”

เป้าหมายทางสังคมของ Coral Life คือการช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุนโดยตรง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ ด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและนำเสนอโซลูชันที่ช่วยให้คุณภาพอากาศภายในอาคารสมบูรณ์แบบตลอดเวลา Coral Life ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของลูกค้าโดยอ้อมอีกด้วย ความมุ่งมั่นของบริษัทที่มีต่อหลักการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของคำพูดของ Alexandre Dumas ที่ว่า "All for one and one for all, united we stand and divided we fall." Coral Life เชื่อว่าความรู้สึกนี้สอดคล้องกับค่านิยมที่องค์การสหประชาชาติยึดมั่น ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินการร่วมกันและความสามัคคีในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน”

เราหวังว่าการเข้าร่วมงาน Regional Workshop จะเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญในการทำให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญนี้ นำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานการก่อสร้างอาคารในไทย รวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลกตามความตกลงปารีส (Paris Agreement*) เพื่ออากาศที่สะอาดและอุณหภูมิที่สบายแบบยั่งยืนสำหรับทุกคนในสังคม”

“Coral Life พร้อมที่จะนำเสนอ Energy Service แก่ลูกค้าทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป บริษัทเอกชน หน่วยงานภาครัฐ หรือองค์กรต่างๆ ที่รวมถึงธนาคาร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการให้สินเชื่อสำหรับการก่อสร้างบ้าน เรามุ่งมั่นที่จะทำให้แน่ใจว่าเงินทุนที่ปล่อยออกไปนั้น ไม่ได้ถูกใช้เพียงในการสร้างอาคารที่เน้นความสวยงามเท่านั้น แต่ Coral Life จะช่วยสร้างอาคารที่ทั้งโดดเด่นและมีประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผู้ขอเงินทุนในการซื้อหรือสร้างบ้านสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ นำไปสู่ความสามารถในการชำระคืนเงินกู้อย่างมีความแน่นอน ลดความเสี่ยงให้กับธนาคารได้โดยตรง”

เราหวังว่าการนำระบบ Passive Design มาใช้ในองค์กรขนาดใหญ่และภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม จะเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงผลลัพธ์เชิงบวกอย่างมหาศาล ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย และการกำหนดมาตรฐานการก่อสร้างที่ดีขึ้นในประเทศไทยให้เทียบเท่ากับระดับสากล เพื่อการดำเนินชีวิตที่ดีแก่ประชาชน โดยสามารถประหยัดพลังงาน หายใจอากาศที่ดีขึ้น และเจ้าของกิจการสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” คุณเฑียรได้กล่าวเสริม


*ความตกลงปารีส (Paris Agreement) คืออะไร

คือการมุ่งเน้นให้ประเทศภาคีเกิดการเสริมสร้างการตอบสนองต่อภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในศตวรรษนี้ให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และพยายามรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ครอบคลุมในเรื่องของการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) โครงสร้างทางการเงิน (Climate Finance) กลไกการสร้างความโปร่งใส (Transparency) การทบทวนการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake) และการให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ทั้งในด้านการพัฒนาและการถ่ายทอดเทคโนโลยี การเสริมสร้างศักยภาพของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งรวมถึงทางการเงิน

และประเทศไทยได้ให้ข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับประชาคมโลก (National Determined Contribution – NDC) โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ร้อยละ 20–25 ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามร่างแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564–2573