“ทรีนีตี้” ประเมินผลกระทบการลงทุน หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะเบ็ดเสร็จ
“ทรีนีตี้” ประเมิน 11 ผลกระทบเกิดขึ้นต่อตลาดทุนโลกแน่หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะเบ็ดเสร็จ เสี่ยงเงินเฟ้อสูงขึ้นจากราคาสินค้าพุ่ง และจากการขึ้นภาษีนำเข้า โอกาสเฟดลดดอกเบี้ยน้อยลง ส่วนหุ้นไทยหลังเลือกตั้งอาจไม่แรงเท่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่จะแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่!! แรงซื้อจากสถาบันหนุน พร้อมแนะธีมลงทุนอิง U.S. election play ได้แก่ กลุ่ม Oil & Gas กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ส่วนกลุ่มหุ้นที่ปลอดภัยยังคงเป็นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ค้าปลีก อสังหาฯ สื่อสาร ไฟแนนซ์ ท่องเที่ยว เป็นต้น
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทาง การลงทุนในตลาดหุ้นภายหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมครองเสียงข้างมากในสภา Congress แบบเบ็ดเสร็จ (Red sweep) ว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ในภาพรวม แต่ดัชนีหุ้นไทยจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ เนื่องจาก Bond yield ในประเทศไม่ได้ปรับขึ้นในรอบนี้ ทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยในมิติส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Yield gap) ยังคงดูน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนในประเทศ ซึ่งข้อโชคดีก็คือว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงพอมีสภาพคล่องเหลืออยู่ จากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นตลาดทุนทั้งกองทุนวายุภักษ์ 1 และกองทุน Thai ESG ดังนั้น ประเมินดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสทรงตัวได้ไปจนถึงสิ้นปีนี้
นายณัฐชาต กล่าวว่า กลุ่มหุ้นไทยที่น่าสนใจบนธีม U.S. election play ได้แก่ กลุ่ม Oil & Gas จากนโยบายสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไปของว่าที่ปธน.ทรัมป์ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม บนความคาดหวังการโยกย้ายฐานการผลิตจากประเด็นสงครามการค้า ส่วนกลุ่มหุ้นที่ปลอดภัยยังคงมองไปยังกลุ่มหุ้น Domestic ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม ค้าปลีก อสังหาฯ สื่อสาร ไฟแนนซ์ ท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่ม Bond-liked อย่าง IFF/REIT/Utilities ที่ยังคงมี Dividend yield gap อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งสหรัฐในครั้งนี้ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมครองเสียงข้างมากในสภา Congress แบบเบ็ดเสร็จ (Red sweep) ซึ่งถือเป็นกรณีที่คล้ายกันกับเมื่อปี 2016 ประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวแปรสินทรัพย์ทั่วโลกต่างๆใน 11 ด้านดังนี้
- คาดการณ์การใช้จ่ายภาครัฐเร่งตัวมากขึ้นในช่วงถัดไป เช่น ด้านกลาโหม ประกันสังคม ประกันสุขภาพ ฯลฯ ส่งผลให้แนวโน้ม Supply พันธบัตรเร่งตัวขึ้น เป็นแรงผลักดันทำให้ Yield มีแนวโน้มสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ แนะหลีกเลี่ยงการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯและกลุ่ม Bond-liked ในระดับโลกไปก่อน เช่นกลุ่ม Global REIT เป็นต้น
- ความน่าจะเป็นที่รัฐบาลชุดใหม่จะเก็บภาษีนำเข้า (Tariff) มีสูงขึ้น และอาจอยู่ในระดับรุนแรงและรวดเร็วจากการที่พรรครีพับลิกันมีเสียงข้างมากทั้งในสภาสูงและสภาล่าง มอง Tariff ที่สูงขึ้นนี้ ย่อมทำให้แรงกดดันทางด้านราคาสินค้าในระดับโลกโดยเฉพาะสินค้าที่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม มีโอกาสส่งผลผลักดันต่อแรงกดดันเงินเฟ้อในระดับโลกได้
- คาดการณ์เงินเฟ้อที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น จากทั้งมาตรการการใช้จ่ายภาครัฐ และการเก็บ Tariff ที่สูงขึ้น มีโอกาสทำให้ Fed ชะลอการลดดอกเบี้ยในช่วงถัดไป ล่าสุดแม้นักลงทุนในตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงในสัปดาห์นี้อีก 0.25% แต่การประชุมครั้งสุดท้ายที่รออยู่ในเดือนธันวาคมนั้น เริ่มมีบางส่วน (30%) คิดว่า Fed อาจไม่ลดดอกเบี้ยต่ออีกแล้ว
- เงิน USD มีแนวโน้มแข็งต่อเนื่อง เพราะการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น มีโอกาสทำให้แนวโน้มดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย (Trade flow) นอกจากนั้นในฝั่งของ Capital flow มีโอกาสที่เราจะเห็นนักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนในตราสารประเทศอื่นเข้าสู่ตราสารเงินฝากและตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น ไม่นับรวมกับโอกาสที่ Fed จะชะลอการลดดอกเบี้ยออกไปอีก
- นโยบายการลดภาษีที่เคยเกิดขึ้นในสมัยทรัมป์ 1 มีแนวโน้มสูงมากที่จะถูกต่ออายุออกไปหลังจากเริ่มทยอยหมดอายุลงในปีหน้า อาทิเช่น การลดภาษีนิติบุคคล ปัจจัยดังกล่าวส่งผลบวกต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยตรง
- 6. จากผลการเลือกตั้งกรณี Red sweep ในปี 2016 ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัว Outperform ตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 เดือนแรกหลังจากการเลือกตั้ง ซึ่งเราคาดว่าครั้งนี้ก็จะเป็นภาพแบบเดียวกัน ดังนั้นเรามองว่ามีความจำเป็นที่นักลงทุนต้องโยกย้ายเงินลงทุนบางส่วนไปเพิ่ม Exposure กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น
- ในขณะที่ภายในตลาดหุ้นสหรัฐฯเอง มีโอกาสที่เราจะเห็นภาพการปรับตัวที่แตกต่างระหว่างกลุ่มหุ้นในช่วง 1 เดือนแรก คล้ายกับปี 2016 อาทิ การปรับตัว Outperform ของกลุ่มหุ้น Cyclical เมื่อเทียบกับ Defensive, การปรับตัว Outperform ของกลุ่มหุ้น Value เมื่อเทียบกับ Growth การปรับตัว Outperform ของดัชนี Dow Jones เมื่อเทียบกับ NASDAQ และการปรับตัว Outperform ของหุ้นขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่
- 8. ในฝั่งของหุ้นไทย คาดว่าคงแปรผันไปตามตลาดหุ้นเกิดใหม่ในภาพรวม แต่ดัชนี SET น่าจะมีความแข็งแกร่งกว่าไม่มากก็น้อย จากการที่ Bond yield ในประเทศไม่ได้ปรับขึ้นในรอบนี้ ทำให้มาตรวัด Valuation ของตลาดหุ้นเราจำพวก Yield gap ยังคงดูน่าสนใจในสายตานักลงทุนในประเทศ ซึ่งข้อโชคดีก็คือ นักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงพอมีสภาพคล่องเหลืออยู่ ประเมิน SET มีโอกาสยากมากที่จะหลุดระดับ 1400 จุดภายในสิ้นปีนี้ มองกลุ่มหุ้นไทยที่น่าสนใจบนธีม S. election play ได้แก่กลุ่ม Oil & Gas และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ส่วนกลุ่มหุ้นที่ปลอดภัยยังคงมองไปยังกลุ่มหุ้น Domestic ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม ค้าปลีก อสังหาฯ สื่อสาร ไฟแนนซ์ ท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่ม Bond-liked อย่าง IFF/REIT/Utilities เป็นต้น
- ประเมินตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้อานิสงส์ช่วงสั้นจากค่าเงิน JPY ที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงิน USD ส่วนหุ้นอินเดียได้ประโยชน์จากการ Relocate เม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นจีนจากความกังวลสงครามการค้า และหุ้นเวียดนามได้อานิสงส์จากความคาดหวังการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมากขึ้น
- 10. มองธีมการลงทุน Reflation trade ในระดับโลกมีความน่าสนใจ เช่นกลุ่ม Commodity กลุ่มน้ำมัน เป็นต้น ตามนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลของโดนัลด์ ทรัมป์ เพียงแต่ว่าในระยะสั้น แนะรอให้ราคาสินทรัพย์เหล่านี้ย่อลงรับการแข็งค่าของเงิน USD ให้เรียบร้อยเสียก่อน
- ประเมินราคาทองตำมีโอกาสทรงตัวออกด้านข้างต่อจากนี้ โดยในฝั่งปัจจัยหนุนเช่นการเป็นสินทรัพย์ที่ปกป้องเงินเฟ้อ (Inflation hedged) อาจถูกกลบด้วยปัจจัยกดดันอย่าง Nominal bond yield ที่สูงขึ้น เงิน USD ที่แข็งค่า และแนวโน้มการลดดอกเบี้ย Fed ที่ชะลอออกไป