“บมจ. ออโรร่า ดีไซน์” หรือ AURA ชูงบ Q3/67 กำไรโตแรง แม้เป็น Low Season กวาดกำไรเกือบ 205 ล้านบาท พีคเกือบ 45% (YoY) รายได้รวม 7,891 ล้านบาท หนุนงบ 9 เดือนปี 67 กวาดกำไรสุทธิกว่า 824 ล้านบาท พุ่งแรงเกือบ 36% ทำรายได้กว่า 23,564 ล้านบาท จากการขยายฐานลูกค้า ขยายสาขา และอานิสงส์ราคาทองคำอยู่ในระดับสูง บริษัทฯ ทำกำไรจากปริมาณการรับซื้อที่เพิ่มขึ้น ด้านช่องทางการจำหน่าย ณ สิ้นกันยายน มีสาขาจำนวน 477 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้ง การเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยจากการขายฝาก ในธุรกิจ “Gold Finance” ดาวเด่นที่มาแรง ปัจจุบันมีพอร์ต 4,212 ล้านบาท ใกล้เคียงเป้าสิ้นปีที่วางไว้จะมีลูกหนี้ขายฝากเพิ่มเป็น 4,500 ล้านบาท พร้อมดันธุรกิจเครื่องประดับเพชรและอัญมณี ตอกย้ำ AURA มีดีกว่าแค่ธุรกิจทอง
นายอนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA ผู้นำธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณ เครื่องประดับเพชรและอัญมณี รวมทั้ง ธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นที่มีบริการแบบครบวงจร (One Stop Service) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ในไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 204.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.7% เมื่อปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) สาเหตุหลักมาจากการขยายฐานลูกค้าผ่านการเปิดสาขาใหม่ และราคาทองคำที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้ง การเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยจากการขายฝาก ส่งผลให้ในไตรมาส 3 ปีนี้มีการเติบโตอย่างน่าประทับใจ แม้โดยปกติจะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ และมีความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนการเมืองในหลายประเทศ แต่ทองคำยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีศักยภาพในการสร้างกำไรในอนาคต โดยปัจจัยต่างๆ นี้ ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทำให้การขายลดลง แต่ในทางกลับกันการรับซื้อทองคำยังอยู่ในระดับที่ดี
ด้านรายได้รวมอยู่ที่ 7,891.4 ล้านบาท เพิ่นขึ้น 17.5% จากการขยายตัวของธุรกิจผลิตภัณฑ์ทองรูปพรรณที่มีส่วนประกอบของทองคำบริสุทธิ์ 96.5% หรือ Modern Gold ทั้งจากยอดขายจากสาขาเดิม และการขยายสาขาใหม่ รวมถึงรายได้จากดอกเบี้ยขายฝากที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของลูกหนี้ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 10.5% ซึ่งแสดงถึงการบริหารจัดการต้นทุนราคาทองคำอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีรายได้รวม 23,564.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 11.5% เพิ่มขึ้นจาก 9.4% ในปีก่อน และด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 824.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.5% จากการขายสินค้าของธุรกิจ Modern Gold และธุรกิจขายฝาก Gold Financing Business อีกทั้ง ยังนับเป็นการเติบโตในระดับใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งมีกำไรสุทธิเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนในระดับ 32.7%
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2567 โครงสร้างรายได้จากการดำเนินงาน แบ่งเป็น รายได้จากการขายสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องประดับทองรูปพรรณที่มีส่วนประกอบของทองคำบริสุทธิ์ 96.5% (Modern Gold) มีสัดส่วนรายได้ 93% เป็นรายได้หลักของบริษัทฯ นอกจากนี้ ธุรกิจขายเครื่องประดับเพชร และ Design Gold เป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 5% และรายได้ดอกเบี้ยรับจากธุรกิจขายฝากทองหรือเครื่องประดับเพชร ภายใต้แบรนด์ ทองมาเงินไป (Gold Financing Business) มีสัดส่วนรายได้ 2% แม้สัดส่วนรายได้ยังไม่สูงนัก แต่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลัก และมีการเติบโตในระดับสูง ณ สิ้นงวดไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีพอร์ตลูกหนี้รับขายฝากคงเหลืออยู่ที่ 4,212 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยขายฝากที่แท้จริง 13.8% ใกล้เป้าหมายทั้งปีที่วางไว้จะมีลูกหนี้ขายฝาก 4,500 ล้านบาท ขณะที่ รายได้ดอกเบี้ยรับเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนปีนี้เติบโตขึ้นประมาณ 80% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ในด้านช่องทางการจำหน่ายปัจจุบันมีเครือข่ายสาขา ควบคู่ช่องทางออนไลน์เสริมทัพ (Omni Chanel) โดย ณ สิ้นกันยายน 2567 มีสาขารวมอยู่ที่ 477 สาขา แบ่งเป็น ร้านทองออโรร่า และเซ่งเฮง จำนวน 258 สาขา ทองมาเงินไป 210 สาขา ออโรร่า ไดมอนด์ 7 สาขา และของขวัญ 2 สาขา
สำหรับ ข้อมูลอุตสาหกรรมราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ในเดือนกันยายน 2567 อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ เคลื่อนไหวต่ำสุดบาทละ 39,950 บาท ต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ และเคลื่อนไหวสูงสุด บาทละ 41,200 บาท ต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ ส่วนต่างราคาสูงสุด-ต่ำสุดอยู่ที่ 1,250 บาท หรือคิดเป็น 3.03% โดยราคาปิด ณ สิ้นเดือน กันยายน 2567 อยู่ที่บาทละ 40,400 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ
ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำระยะสามเดือนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 (ต.ค.-ธ.ค.) ปรับเพิ่มจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 จากระดับ 68.50 จุด มาอยู่ที่ระดับ 69.08 จุด เพิ่มขึ้น 0.58 จุด หรือคิดเป็น 0.84% โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นมานั้น ได้แก่ เงินทุนไหลออกจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย การอ่อนค่าของเงินบาท ทิศทางราคาน้ำมัน และแรงซื้อเก็งกำไรของกองทุน