RWI ปรับกลยุทธ์หนุนมาร์จิ้นสูง โชว์งบ Q3/67 รายได้รวม 176.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ โตพุ่ง 106.20%
นางสาวลภัสรินทร์ ไกรวงษ์วณิชรุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ (RWI) เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 176.36 ล้านบาท ลดลง 15.05% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 ที่มีรายได้รวม 207.62 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106.20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 42.92 ล้านบาท ผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้นนี้สะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์การบริหารต้นทุนและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้บริษัทกลับมามีกำไรสุทธิอย่างมั่นคง
รายได้ในไตรมาส 3/2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ที่บริษัทเลือกจัดสรรการขายให้กับลูกค้าที่ให้ผลกำไรสูง (Margin) แทนการเน้นปริมาณ ส่งผลให้แม้รายได้โดยรวมจะลดลง แต่ราคาขายต่อหน่วยที่สูงขึ้นช่วยส่งเสริมผลกำไรและรักษาประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
RWI วางกลยุทธ์รักษามาร์จิ้นที่เหมาะสม เพื่อตอบรับสภาวะตลาดโลกที่มีความผันผวน โดยเฉพาะราคาลวดเหล็กที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา บริษัทได้เน้นการบริหารจัดการราคาวัตถุดิบและสินค้าคงเหลืออย่างเข้มงวด พร้อมมุ่งเน้นการขายสินค้าที่สร้างมาร์จิ้นสูง เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุนจากสินค้าคงคลัง ส่งผลให้กระแสเงินสดของบริษัทมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ RWI ยังใช้กลยุทธ์จัดซื้อวัตถุดิบในราคาที่สามารถแข่งขันได้ เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนการผลิต ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
การลงทุนของรัฐบาลในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบคมนาคม ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญและช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อลวดเหล็กแรงดึงสูงจากหลายโครงการใหญ่ เช่น โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองนครสวรรค์ฝั่งตะวันออก ซึ่งมีมูลค่าก่อสร้างกว่า 3,200 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ที่มีงบประมาณรวมกว่า 4,200 ล้านบาท โครงการเหล่านี้สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทในการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการประมูลและคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2568 ซึ่งจะส่งเสริมยอดขายให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปี ทำให้บริษัทมีศักยภาพสูงในการสร้างรายได้ระยะยาวและมอบความมั่นคงทางการเงินแก่ผู้ถือหุ้น