BC ทรงดี Q1/67 ทำรายได้โต 24% รวม 131 ล้านบาท รับท่องเที่ยว-เศรษฐกิจฟื้น เตรียมเปิดโครงการ Cove Hill ย่านเจริญกรุง หนุนรายได้เพิ่ม

BC ทรงดี Q1/67 ทำรายได้โต 24% รวม 131 ล้านบาท รับท่องเที่ยว-เศรษฐกิจฟื้น เตรียมเปิดโครงการ Cove Hill ย่านเจริญกรุง หนุนรายได้เพิ่ม

บมจ.บูทิค คอร์ปอเรชั่น หรือ BC ผู้นำด้านอสังหาฯ โมเดลธุรกิจ BOS เปิดผลงาน Q1/2567 ทำรายได้ 131.8 ล้านบาท โต 24.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวฟื้น หนุนกลุ่มธุรกิจ Hospitality ต้นปีพีค ปัจจุบัน โครงการในมือเปิดให้บริการทั้งสิ้น 9 แห่ง ทั้งใน กทม. และพื้นที่ศักยภาพ รวมถึงโครงการรีเทลพื้นที่ mixed-use ในโครงการ Summer Point อัตราการเช่าพื้นที่สูงถึง 94% เตรียมต่อยอดความสำเร็จ เดินหน้าเปิดโครงการ Cove Hill ที่อยู่ในแหล่งเศรษฐกิจย่านเจริญกรุง สำหรับการขายออกโครงการอยู่ระหว่างเจรจาหาราคาที่เหมาะสม หนุนปี 2567 BC มีไฮไลท์ใหม่ๆ อีกเพียบ

นายปรับ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้โมเดลธุรกิจ “สร้าง-ดำเนินการ-ขาย” (Build-Operate-Sale : BOS) เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2567 มีการเติบโตของรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวประเทศจีนและมาเลเซีย โดยในปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 90% ของระดับก่อนโควิด ซึ่งเป็นสัญญาณฟื้นตัวที่ดี อีกทั้งนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวต่างๆที่จะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในภูมิภาค

โดย BC มีรายได้รวมอยู่ที่ 131.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6 ล้านบาท หรือ 24.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ปัจจัยมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการประกอบกิจการโรงแรม ศูนย์การค้า และสำนักงานให้เช่า จากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งแบ่งเป็นรายได้จากการดำเนินงานโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ 124.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและทีมบริหารอสังหาริมทรัพย์ที่มีกลยุทธ์อย่างแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันโครงการรีเทลพื้นที่ mixed-use ให้เช่าของบริษัทฯ โครงการ Summer Point นั้นมีอัตราการเช่าพื้นที่สูงขึ้นเกือบเต็มพื้นที่ขาย ถึง 94% ดึงดูดนักลงทุนให้ความสนใจโครงการนี้

ทั้งนี้ ปัจจุบัน BC เปิดให้บริการโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ทั้งสิ้น 9 โครงการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พื้นที่ย่านเศรษฐกิจ นอกจากนี้ BC ยังดูแลโครงการโรงแรมที่ไม่ใช่บริษัทในเครือ ในภูเก็ต หาดกะรน ภายใต้แบรนด์ของตนเอง JONO X และได้รับค่าตอบแทนจากการบริหารรายได้และการบริหารโรงแรม อีกทั้ง ยังมี โครงการ Cove Hill ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาส 3/2567 ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลทอง บริเวณแยกถนนจันทน์ตัดกับถนนเจริญกรุง ติดกับโรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ และโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ ริเวอร์ไซด์แคมปัส เป็นทำเลศักยภาพอีกหนึ่งแห่ง โดยหวังเป็นคอมมูนิตี้การรวมตัวแห่งใหม่ในย่านเจริญกรุง ที่ปัจจุบันมีอัตราจองพื้นที่เข้ามาแล้วกว่า 80%

สำหรับผลประกอบการตามงบการเงินรวม กลุ่มบริษัทรายงานผล EBITDA ที่ดีขึ้น ในไตรมาส 1/2567 แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวในเชิงบวกของ EBITDA จากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 29.6 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับ EBITDA ติดลบที่ 1.6 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า การปรับตัวในเชิงบวก นี้เป็นผลมาจาก ปัจจัยบวกจากช่วงฤดูท่องเที่ยว และการนำกลยุทธ์การบริหารงานแบบคลัสเตอร์ ซึ่งทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถลดต้นทุนการบริหารจัดการได้มากกว่าที่ผ่านมา

ไม่เพียงเท่านี้ในกลุ่มธุรกิจอื่นก็ยังเดินหน้าเติบโตด้วยเช่นกัน โดยกลุ่มธุรกิจสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพ กลุ่มบริษัทบีสโปค มียอดขายนิวไฮ ในไตรมาส 1/2567 โตขึ้นกว่า 2.3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า และเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ในทำเลศักยภาพ  นอกจากนี้ยังได้บริหารจัดการจำนวนสาขาให้เหมาะสม โดยรักษาสาขาที่มีการดำเนินการที่ดีไว้และเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 1 สาขาที่ถนนไนท์บาร์ซาร์เชียงใหม่ ส่งผลให้เรามีสาขาของ KANA outlet ทั้งสิ้น 10 สาขา ในไตรมาส 1/2567

สำหรับธุรกิจบริการห้องเก็บของส่วนตัวภายใต้แบรนด์ “GO Storage” มีอัตราการเช่าในระดับสูงต่อเนื่องถึง 78% ในเดือนมีนาคม 2567

ในปีนี้ BC เรามีแผนพัฒนาธุรกิจอย่างมากมาย และคาดว่าจะสร้างไฮไลท์ใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยคาดขายออกได้ 1 โครงการตามโมเดลธุรกิจ BOS ซึ่งมีนักลงทุนติดต่ออย่างต่อเนื่อง และยังอยู่ในช่วงเจรจา เพื่อสร้างกำไรที่ดีที่สุดให้กับพอร์ตของ BC

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เทียบฟอร์มอสังหาฯ 10 บิ๊กแบรนด์ เปิดรายได้-กำไร ไตรมาส 1/67 คาดมาตรการรัฐ กระตุ้นดีมานด์ครึ่งปีหลัง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เทียบฟอร์มอสังหาฯ 10 บิ๊กแบรนด์ เปิดรายได้-กำไร ไตรมาส 1/67 คาดมาตรการรัฐ กระตุ้นดีมานด์ครึ่งปีหลัง

พลัส พร็อพเพอร์ตี้  ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยปี 2567 ที่มีความท้าทาย 10 บริษัทบิ๊กแบรนด์ในธุรกิจอสังหาฯ ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก ทำรายได้รวมมากกว่า 4.9 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับปี66 ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีรายได้รวมที่ต่ำกว่าเล็กน้อย ถือเป็นปีที่ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาฯต้องใช้ความระมัดระวังในการบริหารจัดการ ปีนี้แสนสิริสุดปัง คว้าแชมป์ที่ 1 ทั้งรายได้รวม และกำไรสุทธิ และเป็นบริษัทเดียวที่ทำรายได้ในไตรมาสแรกนี้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท  บริษัทที่ทำรายได้ รองลงมาคือเอพี ไทยแลนด์  และแลนด์ แอนด์เฮ้าส์  ตามลำดับ  สำหรับกำไรสุทธิมีการสลับตำแหน่งกันระหว่างแลนด์แอนด์เฮ้าส์ทำกำไร ในอันดับที่ 2 ตามด้วย เอพี ไทยแลนด์ เป็นอันดับที่ 3

10  ผู้ประกอบการอสังหาฯ ท็อปฟอร์ม ผลงานเด่น 

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้รวบรวมผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2567 ของ 10 บริษัทอสังหาริมทรัพย์เปรียบเทียบให้เห็นว่า แต่ละบริษัท มีตัวเลขกำไร รายได้ และอัตราการเติบโตมากน้อยแค่ไหน สะท้อนกลยุทธ์ของแต่ละบริษัทที่แตกต่างกันออกไป และสิ่งนี้ส่งสัญญาณให้ต้องจับตาอะไรต่อไปตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งปีหลัง 

แสนสิริแชมป์อันดับ 1 รายได้รวม 10,170 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท
แสนสิริมีรายได้รวมในไตรมาสแรกอยู่ที่ 10,170 ล้านบาท โตขึ้น 19.6% และกำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท ลดลง 16.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำผลงานรายได้จากการขายโครงการที่เพิ่มขึ้นถึง 32% อยู่ที่ 8,505 ล้านบาท จากการขายโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรีและซูเปอร์ลักซ์ชัวรี รวมทั้งมีการโอนโครงการอื่นๆอย่างต่อเนื่อง

เอพี ไทยแลนด์ รายได้รวม 7,968 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,008 ล้านบาท
เอพี ไทยแลนด์ มีรายรวม 7,968  ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,008 ล้านบาท โดยรายได้ลดลง 15.6%  จาก 9,441 ล้านบาท  และกำไรสุทธิลดลง 31.8% จาก 1,478 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า  โดยรายได้หลักมาจากการขายโครงการแนวราบ 7,088 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 519 ล้านบาท นอกจากนั้นมาจากการเปิดขายโครงการใหม่และการโอนโครงการเดิม

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ รายได้รวม 7,804 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,231 ล้านบาท
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีรายได้รวม 7,804 ล้านบาท ผลงานกำไรสุทธิ 1,231 ล้านบาท โดยรายได้เพิ่มขึ้น 11.9% จาก 9,441 ล้านบาท  และกำไรสุทธิลดลง 9.1.% จาก 1,354 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากการขายลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว  

ศุภาลัย รายได้รวม 4,674 ล้านบาท กำไรสุทธิ 614 ล้านบาท
ศุภาลัย สร้างรายได้รวมที่ 4,674 ล้านบาท ลดลง 20.8% จาก 5,902 ล้านบาท และได้กำไรสุทธิ 614 ล้านบาท ลดลง 43.2% จาก1,080 ล้านบาทในปี 2566 

พฤกษา รายได้รวม 4,171 ล้านบาท กำไรสุทธิ 65 ล้านบาท
พฤกษา มีรายได้ 4,171 ล้านบาท ลดลง 20.8% กำไรสุทธิลดลง 90% เหลือ 65 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 652 ล้านบาท สาเหตุจากรายได้อสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากปัญหากำลังซื้อของผู้บริโภคโดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มรายได้น้อยซึ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องมาจากปีก่อน รวมถึงการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยซึ่ง ส่งผลให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อ

เอสซี แอสเสท รายได้รวม 4,024 ล้านบาท กำไรสุทธิ 183 ล้านบาท
เอสซี แอสเสท ทำรายได้รวม 4,024 ล้านบาท ลดลง 18.4% จาก 4,930 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิ 183 ล้านบาท ลดลง 65.8% จาก 535 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายโครงการ 92.38%  นอกนั้นมาจากรายได้ค่าเช่าและบริการที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ตามทิศทางของบริษัทในการขยายไปสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ

เฟรเซอร์ส รายได้รวม 3,524 ล้านบาท กำไรสุทธิ 159 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส มีรายรวม 3,524  ล้านบาท และกำไรสุทธิ 159 ล้านบาท โดยรายได้เพิ่มขึ้น 2.9% จาก 3,424 ล้านบาท  และกำไรสุทธิลดลง 50% จาก 317 ล้านบาท

ออริจิ้น รายได้รวม 3,210 ล้านบาท กำไรสุทธิ 464 ล้านบาท
ออริจิ้น มีรายได้ 3,210 ล้านบาท ลดลง 12.3% จาก 3,662 ล้านบาท กำไรสุทธิลดลง 41.8% เหลือ 464 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 798 ล้านบาท

ควอลิตี้เฮ้าส์ รายได้รวม 1,797 ล้านบาท กำไรสุทธิ 490 ล้านบาท
ควอลิตี้เฮ้าส์ ทำรายได้รวม 1,797 ล้านบาท รายได้ลดลง 8.6% จาก 1,965 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิ 490 ล้านบาท ลดลง 17.3%จาก 592 ล้านบาท

แอสเซทไวส์ รายได้รวม 1,750 ล้านบาท กำไรสุทธิ 256 ล้านบาท
แอสเซทไวส์ ทำรายได้รวม 1,750 ล้านบาท รายได้ลดลง 0.7% จาก 1,738 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิ 256 ล้านบาท ลดลง 9.4% จาก 283 ล้านบาท

คาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยครึ่งปีหลัง มีแรงลุ้นแค่ไหน
นายอนุกูล  รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมตอบโจทย์ทุกบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ปี 2567 นับได้ว่าปีนี้เปิดศักราชต้นปีภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโตจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยคาดว่าราคาอสังหาฯ และความต้องการซื้อจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้  ตลาดอสังหาฯ ยังคงมีปัจจัยท้าทายหลายด้าน อาทิ อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ทำให้ต้นทุนทางการเงินในการซื้อที่อยู่อาศัยปัจจุบันยังคงสูงเมื่อเทียบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้หนี้เสียจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยและหนี้บ้านที่ค้างชำระเพิ่มสูงขึ้น  รวมถึงความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารในเวลานี้ ทำให้ผู้ซื้อต้องมีความพร้อมทางด้านการเงินมากขึ้น ตรงกับทางข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ประเมินว่า ผลจากมาตรการฯ น่าจะทำให้ในครึ่งปีที่เหลือของปี 2567 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจะมีประมาณ 2.79 แสนหน่วย หดตัว1% (YoY) และทำให้ผู้บริโภคกลุ่มเรียลดีมานด์อาจจะยังชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนเพื่อรอติดตามสถานการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อย่างไรก็ตามตลาดอสังหาฯยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือในอีกหลายประเด็น พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เชื่อมั่นว่าครึ่งปีหลัง 2567 ธุรกิจอสังหาฯ ยังคงมีศักยภาพในการแข่งขัน โดยผู้ประกอบการจะต้องติดตามสถานการณ์ที่ผันผวนของเศรษฐกิจ และปรับตัวเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้ธุรกิจ

CPW ผลงานโค้งแรกสดใส กำไรพุ่งกว่า 21% โกยรายได้ 2,229 ลบ. ได้แรงหนุนสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์-โทรศัพท์มือถือโต ย้ำปีนี้ลุยต่อตามเทรนด์ AI Phone

CPW ผลงานโค้งแรกสดใส กำไรพุ่งกว่า 21% โกยรายได้ 2,229 ลบ. ได้แรงหนุนสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์-โทรศัพท์มือถือโต ย้ำปีนี้ลุยต่อตามเทรนด์ AI Phone

“บมจ.คอปเปอร์ ไวร์ด หรือ CPW” ผลงานโค้งแรกสดใส โชว์งบสวย! มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 24.61 ลบ. โต 21.35% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 2,229.15 ลบ. เพิ่มขึ้น 14.88% รับดีมานด์สินค้ากลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์และโทรศัพท์มือถือเปิดตัวรุ่นใหม่ มั่นใจปี 67 เดินหน้าขยายการเติบโตสอดรับเทรนด์เทคโนโลยี ดันตลาด Gadget & Accessory และ Digital Lifestyle คึกคัก ควบคู่การจับมือพันธมิตรเพิ่มสินค้ากลุ่ม IoT และขยายช่องทางการจำหน่ายต่อเนื่อง

นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาสแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 24.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.35% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 2566 ที่ทำได้ 20.28 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 2,229.15 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 1,940.48 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.88% เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายโทรศัพท์มือถือและสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าคอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ตลดลง

อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.05% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 12.03% ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 12.58% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้การขายสินค้าประเภทสมาร์ทโฟนซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าสินค้าประเภทอื่น

โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีร้านค้าปลีกภายใต้การบริหารงานจำนวน 105 สาขา (เทียบกับปี 2566 มี 104 สาขา) ประกอบด้วย ร้าน dotlife (ดอทไลฟ์) จำนวน 23 สาขา, ร้าน Apple Brand Shop จำนวน 28 สาขา (แบ่งเป็น iStudio by copperwired จำนวน 18 สาขา U.Store by copperwired จำนวน 9 สาขา และ Ai_ จำนวน 1 สาขา), ศูนย์บริการ iServe จำนวน 3 สาขา, ร้าน AIS จำนวน 26 สาขา, Samsung จำนวน 20 สาขา และ ร้าน Xiaomi จำนวน 5 สาขา

นายปรเมศร์ กล่าวถึง การดำเนินงานของบริษัทฯ ปี 2567 ว่า ปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเติบโตจากปีก่อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากที่ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2566  บริษัทฯ ได้เริ่มแผนขยายช่องทางการจำหน่ายร่วมกับพันธมิตรธุรกิจซึ่งเป็นระดับบิ๊กเนมชั้นนำเพื่อจำหน่ายสินค้าไปยังผู้บริโภคได้มากขึ้น ประกอบกับได้หาสินค้าแบรนด์ไลฟ์สไตล์ รวมถึง IoT เข้ามาเสริมพอร์ตและตอบโจทย์ความต้องการหรือเทรนด์ผู้บริโภคมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ยังเชื่อว่าธุรกิจจะได้รับการตอบรับที่ดีจากการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่สุดล้ำ กับ AI Phone โทรศัพท์มือถือที่พาก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างยิ่งใหญ่จาก Samsung Galaxy S24 Series เพราะในช่วงที่ผ่านมามีการจองผ่านช่องทางร้าน Samsung ภายใต้การบริหารของบริษัทฯ ร้าน dotlife และช่องทางออนไลน์ โดยปัจจุบันยังคงได้กระแสตอบรับจากลูกค้าจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง และน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนในครึ่งปีแรกของปี 2567 กลับมาคึกคักได้ ซึ่งรวมถึงสินค้ากลุ่ม Gadget & Accessory และ Digital Lifestyle ที่คาดว่าน่าจะเติบโตในทิศทางเดียวกัน

Jaymart Mobile – SGC ชูสินเชื่อ “เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance Plus)” จับมือพันธมิตรออปโป้ (OPPO) วีโว่ (vivo) และ Xiaomi (เสี่ยวมี่) ดันเป้ายอดสินเชื่อกว่า 1,000 ล้านบาทในปีนี้

Jaymart Mobile - SGC ชูสินเชื่อ “เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance Plus)” จับมือพันธมิตรออปโป้ (OPPO) วีโว่ (vivo) และ Xiaomi (เสี่ยวมี่) ดันเป้ายอดสินเชื่อกว่า 1,000 ล้านบาทในปีนี้

กรุงเทพฯ ประเทศไทย พฤษภาคม 2567 – “เจมาร์ท โมบาย (Jaymart Mobile)” เดินหน้า Synergy ธุรกิจมือถือและสินเชื่อ จับมือ “เอสจี แคปปิตอล (SG Capital)” ชูโรงสินเชื่อ “เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance Plus)” ผลตอบรับเด่นกับแคมเปญ “Locked Phone” กระตุ้นยอดขายมือถือ หนุนปีนี้โตต่อเนื่อง

นายดุสิต สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (Jaymart Mobile) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลตอบรับจากการเปิดตัวสินเชื่อ “เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance Plus)” โดยบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC) ที่เข้ามารุกตลาดภายใน 2 เดือนที่ผ่านมา ร่วมกับพันธมิตรแบรนด์มือถือชั้นนำอย่าง ออปโป้ (OPPO) วีโว่ (vivo) และ Xiaomi (เสี่ยวมี่) ให้บริการลูกค้าครบวงจรยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบัน มีจำนวนลูกค้ากว่า 10,000 สัญญา ได้ผ่านการอนุมัติ และมีอัตราการเติบโตของยอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดสินเชื่อกว่า 100,000 สัญญาในสิ้นปี ผลักดันยอดขาย 1,000 ล้านบาทภายในปี 2567

ลูกค้าที่สนใจสินเชื่อ “เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance Plus)” สามารถเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน 3 แบรนด์ดัง ออปโป้ (OPPO) วีโว่ (vivo) และ Xiaomi (เสี่ยวมี่) ได้ง่ายๆ เพียงใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียว ก็สามารถผ่อนได้ อนุมัติภายใน 3 นาที เริ่มต้นผ่อนหลักร้อย นานสูงสุด 24 เดือน ที่ร้านเจมาร์ท ทั่วประเทศ

CPANEL พบนักลงทุนในงาน Opportunity Day ฉายภาพธุรกิจไตรมาส 2/67 เติบโตต่อเนื่อง

CPANEL พบนักลงทุนในงาน Opportunity Day ฉายภาพธุรกิจไตรมาส 2/67 เติบโตต่อเนื่อง

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) (CPANEL) ให้ข้อมูลสรุปผลประกอบการไตรมาส 1/67 รายได้รวม 91.40 ล้านบาท กำไรสุทธิ 10.15 ล้านบาท พร้อมเผยทิศทางธุรกิจไตรมาส 2/67 เดินหน้ากลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าใหม่ภาครัฐ-เอกชน ชูนวัตกรรม Precast Concrete มาตรฐานสูง ตอบโจทย์ผู้ประกอบการทุกภาคธุรกิจ ผลักดันยอดขาย สร้างรายได้โตตามเป้าหมายที่วางไว้ ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถรับชมบันทึกเทปได้ที่  www.set.or.th/streaming/vdos-oppday

SA เปิดงบ Q1/67 รายได้พุ่ง 140.58% ยอดโอนโครงการพระราม 9 ทะลัก ชูเรือธงปี 67 โรงแรม-อสังหาฯสีเขียว ดันผลงานโตแกร่ง

SA เปิดงบ Q1/67 รายได้พุ่ง 140.58% ยอดโอนโครงการพระราม 9 ทะลัก ชูเรือธงปี 67 โรงแรม-อสังหาฯสีเขียว ดันผลงานโตแกร่ง

บมจ.ไซมิส แอสเสท (SA) มาตามนัด! โชว์ผลงานไตรมาส 1/67 กวาดรายได้ 1,174 ล้านบาท พุ่ง 140.58% มีกำไรสุทธิ 115.91 ล้านบาท เพิ่ม 56.46% จากยอดโอนโครงการใหญ่ Landmark @ MRTA Station และความสำเร็จจากการกระจายรายได้สู่ธุรกิจบริการ ฟากผู้บริหาร “ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ” เปิดกลยุทธ์ปีนี้มุ่งเน้นธุรกิจโรงแรมและบริการ รองรับการท่องเที่ยวฟื้นตัว พร้อมอยู่ระหว่างพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับผู้สูงอายุ และพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย เพิ่มความสะดวกสบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางอสังหาฯสีเขียว สนับสนุนผลงานบริษัทฯ เติบโตยั่งยืน

คุณขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) (SA)  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด “Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 1/2567 มีรายได้รวม 1,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 686.24 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 140.58% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 488.16 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้จากการจากการขายอสังหาริมทรัพย์และสินค้า 1,045.18 ล้านบาท รายได้จากการบริการ 89.11 ล้านบาท

ในไตรมาส 1/2567 มีกำไรสุทธิ 115.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 686.24 ล้านบาท หรือ 56.46% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 74.08 ล้านบาท  โดยเป็นกำไรจากผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่เท่ากับ 109.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.03 ล้านบาท หรือ 104.33% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 53.71 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ มีการรับรู้รายได้ส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการ Landmark @ MRTA Station (พระราม 9) ส่วนที่เหลือมาจากอสังหาริมทรัพย์ จาก 4 โครงการหลัก ได้แก่ Monsane Exclusive Villa Ratchapruek - Pinklao, Siamese Kin Ramintra (Phase 2), Monsane Ratchapruek - Chaengwattana และ Siamese Exclusive Queens รวม 995.94 ล้านบาท และรับรู้รายได้จากโครงการอื่นๆ 49.24 ล้านบาท รวมเป็น 1,045.18 ล้านบาท คิดเป็น 89.00% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเท่ากับ 838.36 ล้านบาท คิดเป็น 405.36% ทั้งนี้ หากพิจารณาสัดส่วนรายได้ตามประเภทโครงการ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากโครงการแนวสูงคิดเป็นสัดส่วน 74.47% โครงการแนวราบคิดเป็นสัดสวน 23.73% ของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และสินค้า

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้ธุรกิจจากการให้บริการเพิ่มขึ้น โดยรายได้หลักมาจากการเปิดให้บริการธุรกิจโรงแรม จำนวน 5 แห่ง มีอัตราการเข้าพักที่สูงกว่า (Occupancy Rate) ราคาเฉลี่ยห้องพักต่อคืนที่ปรับสูงขึ้น (Average Daily Room Rate) และจำนวนห้องที่สูงขึ้น อีกทั้งมีรายได้จากการบริหารงานนิติบุคคล ส่งผลทำให้รายได้จากงานการให้บริการทั้งสิ้น 89.11 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.59% ของรายได้รวม ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าเท่ากับ 9.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.86%

“ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกเป็นไปตามที่บริษัทฯ คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมียอดทยอยโอนโครงการ Landmark @ MRTA Station ที่สุดแห่งโครงการ Mixed Use แบบ Branded Residences ซึ่งเป็นโครงการใหญ่มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ New CBD พระราม 9 เพียง 350 เมตร ถึงรถไฟฟ้าสายสีส้มและสถานีรฟม. ทำให้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีทั้งซื้อเพื่อพักอาศัย และซื้อเพื่อการลงทุน อีกทั้ง บริษัทฯ มีการกระจายฐานรายได้สู่ธุรกิจการให้บริการ อาทิ ธุรกิจโรงแรม ยกตัวอย่างเช่น Tribe Living Bangkok Sukhumvit 39 ที่สามารถรองรับนักเดินทางท่องเที่ยวหรือเพื่อธุรกิจ ได้ทั้งการเข้าพักระยะสั้นและเข้าพักระยะยาว จึงเป็นปัจจัยส่งผลสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างโดดเด่น"

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้บริษัทฯ วางกลยุทธ์มุ่งเน้นธุรกิจโรงแรมและบริการ เพื่อรองรับธุรกิจท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว โดยตั้งเป้าหมายรายได้ Recuring Business เป็น 15% ของรายได้บริษัทภายใน 5 ปี อีกทั้งบริษัทกำลังพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับผู้สูงอายุ (Aged Aging  Society) โดยในโครงการจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเสริม เช่น บริการด้านการแพทย์ และเนอสซิ่งโฮม

พร้อมกันนี้ SA ยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มความสะดวกสบายและสุขภาพที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า การส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้า ด้วยการติดตั้งสถานีชาร์จ EV ในโครงการของบริษัท และเทคโนโลยี Air of Life เครื่องเติมอากาศบริสุทธิ์ และกรองฝุ่น PM2.5 ช่วยประหยัดพลังงานด้วยระบบแลกเปลี่ยนความร้อน ลดความร้อนจากภายนอกก่อนเข้าสู่ภายในที่อยู่อาศัยเพิ่มความสดชื่นกับ Anion จากเครื่อง เป็นการสร้างบ้านเพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบาย "ธุรกิจสีเขียว" อสังหาฯ ที่ช่วยลดการปล่อย CO2 ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญของการก่อสร้างอาคารในอนาคต สู่แนวทางการพัฒนาอาคารอย่างยั่งยืน และสนับสนุนผลงานบริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืน

PCC เปิดงบ Q1/67 รายได้โต 14.25% ยอดขายสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้า – อุปกรณ์ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เพิ่มขึ้น มั่นใจรายได้ปีนี้โต 10% ตามเป้าหมาย

PCC เปิดงบ Q1/67 รายได้โต 14.25% ยอดขายสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้า - อุปกรณ์ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เพิ่มขึ้น มั่นใจรายได้ปีนี้โต 10% ตามเป้าหมาย

บมจ.พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น (PCC) รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2567 มีรายได้อยู่ที่ 1,202.61 ลบ.เพิ่มขึ้น 14.25% กวาดกำไรสุทธิ  89.84 ลบ. โต 8.50% เนื่องจากยอดขายกลุ่มสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้า,กลุ่มสินค้าสวิตช์ตัดตอนชนิดต่างๆ และรายได้ขายกลุ่มอุปกรณ์และระบบควบคุมสำหรับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เพิ่มขึ้น  แถมสามารถควบคุมต้นทุน และ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ  ด้านซีอีโอ “กิตติ สัมฤทธิ์” มั่นใจรายได้ปีนี้โต 10% จากปีก่อน  มองระบบสมาร์ทกริดขยายตัวต่อเนื่อง หนุนการเติบโตของบริษัทฯอย่างยั่งยืน

นายกิตติ สัมฤทธิ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (PCC) ผู้นําในธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์มครอบคลุมอุตสาหกรรมสมาร์ทกริดของประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,202.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.25%  จากปีก่อนที่มีรายได้  1,052.60 ล้านบาท

กลุ่มบริษัทฯ มีโครงสร้างรายได้สำหรับงวดสามเดือนแรกปี 2566 และ 2567 จากรายได้จากการขายใน สัดส่วนร้อยละ 56.9 ต่อ 53.8 และรายได้จากการให้บริการและโครงการก่อสร้างในสัดส่วนเท่ากับ ร้อยละ 42.7 ต่อ  45.5 ของรายได้รวม ตามลำดับ

โดยรายได้จากการขายงวดไตรมาส 1/2567  มีรายได้เท่ากับ 647.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.10% จากปีก่อนมีรายได้เท่ากับ 599.04 ล้านบาท เนื่องจากการขายสินค้าให้กลุ่มลูกค้าภาครัฐและเอกชนที่เป็นผู้รับเหมาหลักของงานสถานีไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลักมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้  รายได้ขายกลุ่มสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง  ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย ,รายได้ขายกลุ่มสินค้าสวิตช์ตัดตอนชนิดต่างๆ ได้แก่ โหลดเบรคสวิตซ์ และรายได้ขายกลุ่มอุปกรณ์และระบบควบคุมสำหรับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ได้แก่ อุปกรณ์ใน กลุ่ม มิเตอร์

และรายได้จากการให้บริการและโครงการก่อสร้างงวดไตรมาส 1/2567 มีรายได้เท่ากับ 547.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.84%  จากปีก่อนมีรายได้เท่ากับ 449.44 ล้านบาท  ปัจจัยหลักคือการเพิ่มขึ้นของรายได้สำหรับงานบริการก่อสร้าง ดังนี้  งานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง จากงานโครงการสถานีไฟฟ้าแรงสูง 500/230 kV แม่เมาะและ ลำพูน , งานระบบควบคุมสำหรับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ จากงานโครงการติดตั้งขยายของงาน FDI (Feeder Device Interface) 4 ภาค ซึ่งเป็นสัญญาต่อเนื่องของงานโครงการ SCADA ที่จบโครงการ ไปแล้ว  และ งานบริการจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง จากการงานติดตั้งอุปกรณ์ โหลดเบรคสวิตซ์

ทั้งนี้ งวดไตรมาส 1/2567  บริษัทฯมีกำไรสุทธิ อยู่ที่  89.84 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 8.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 82.80 ล้านบาท สาเหตุหลักที่กำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการควบคุมต้นทุน และ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

นายกิตติ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ในปี 2567 เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.63 พันล้านบาท เนื่องจากมองเห็นศักยภาพในการเติบโตจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าระบบ Smart Grid หรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกัน ทำให้ระบบไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันจำนวนรถไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มมากขึ้น จากนโยบายสนับสนุนจากทางภาครัฐ

TCMC เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2567 รายได้รวม 1.59 พันล้านบาท คาดไตรมาส 2 เติบโตตามสถานการณ์ตลาดที่ฟื้นตัว

TCMC เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2567 รายได้รวม 1.59 พันล้านบาท คาดไตรมาส 2 เติบโตตามสถานการณ์ตลาดที่ฟื้นตัว

ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน (TCM Corporation) หรือ TCMC เผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ทำรายได้รวมกว่า 1.5 พันล้านบาท แม้ตลาดเฟอร์นิเจอร์ในยุโรปซบเซา แต่บริษัทยังคงมีลูกค้าประจำต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวบริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับตลาด แม้จะอยู่ในช่วง Low Season ของธุรกิจ ด้านกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะเติบโตสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นต่อเนื่อง คาดไตรมาส 2 ปี 2567 เติบโตตามสถานการณ์ตลาดที่ฟื้นตัว

นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TCMC)  เปิดเผยว่า บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (เรียกรวมกันว่า “กลุ่มบริษัท”) มีรายได้จากการขายและบริการในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 จำนวน 1,590.89 ล้านบาท  ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,999.30 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.43 ทั้งนี้สำหรับ EBITDA จำนวน 30.44 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 77.61 และมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 82.99 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิ 11.32 ล้านบาท

"ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่แรกของปี แม้สถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกจะถดถอย ทั้งในเงินเฟ้อ ค่าพลังงาน ค่าแรง และการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นทั้งหมด แต่ทว่า TCMC ได้มีการบริหารจัดการที่ดี โดยกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) แม้จะมีสัดส่วนของรายได้ที่คิดเป็นร้อยละ 55.64 ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีสัดส่วนร้อยละ 63.90 ของรายได้จากการขายและบริการทั้งหมด โดยปัจจัยหลักที่สำคัญมาจากตลาดเฟอร์นิเจอร์ในยุโรปเกิดการชะลอตัว แต่บริษัทยังคงมีฐานลูกค้าประจำต่อเนื่อง” นางสาวปิยพร กล่าวเสริม

ด้านกลุ่มธุรกิจกลุ่มธุรกิจวัสดุ (TCM Surface) แม้ในไตรมาสที่ผ่านมาจะเป็นช่วง Low Season ของกลุ่มธุรกิจ และได้รับผลกระทบจากค่าขนส่ง ค่าแรง และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นจากสภาพตลาด แต่บริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกัน และการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มธุรกิจสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ร้อยละ 39.79 ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวและโรงแรมซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจ ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีหลังทางบริษัทวางแผนกระตุ้นยอดขายโดยการออกงานโชว์ต่างๆ การเดินสายโปรโมทผลิตภัณฑ์อคูสติก รวมถึงฝ่ายขายในต่างประเทศเริ่มออกเดินทางหาลูกค้ามากขึ้น โดยคาดหวังคำสั่งซื้อเข้ามาช่วงครึ่งหลังของปี

ขณะที่กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) ยังทรงตัวรายได้ลดลงร้อยละ 3.71 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยอ่อนตัวลงเล็กน้อยเนื่องจากการปล่อยสินเชื่อรถกระบะลดลง แต่ในทางกลับกันกลุ่มธุรกิจดังกล่าวยังสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีขึ้น โดยมาจากการปรับปรุงพัฒนาด้านประสิทธิภาพการผลิต การปรับลดต้นทุนในทุกด้าน และจากการขายสินค้ากลุ่มที่มีอัตรากำไรสูงในสัดส่วนที่สูงขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของสภาพคล่องทางการเงินของกลุ่มบริษัทโดยรวมยังอยู่ในสภาพที่ดี ซึ่งในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 กลุ่มบริษัทมีรายได้อื่นจำนวน 1.24 ล้านบาท เป็นรายได้จากดอกเบี้ยรับ ค่าเช่า ค่าขายสินทรัพย์ เศษซาก ฯลฯ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอยู่ที่ 3.12 ล้านบาท และใน Q1/2567 นี้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 27.51 ล้านบาท จากการจองซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าของกลุ่มธุรกิจ TCM Surface

"เราเชื่อมั่นว่าในปี 2567 จะยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดและส่วนแบ่งทางการตลาดตลอดจนศึกษาและมองหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจใหม่ รวมถึงการขับเคลื่อนองค์ไปสู่ความยั่งยืนผ่านโครงการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา โดยได้กำหนดเป้าหมายการเป็นองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจก สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ภายในปี ค.ศ.2050 หรือ พ.ศ.2593 เพื่อร่วมกันสร้างการเติบโตและก้าวสู่การเป็นองค์กรชั้นนำที่ให้ความสำคัญกับทุกห่วงโซอุปทานทางธุรกิจอย่างรอบด้านที่ยั่งยืน" นางสาวปิยพร กล่าวทิ้งท้าย

LTS เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

LTS เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก

แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย ภัฎ ตรัสโฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ของ บมจ. ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น ผู้จัดจำหน่าย ออกแบบและติดตั้งผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าส่องสว่าง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2567  มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 619.80 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “LTS”

‘บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล’ เปิดยุทธศาสตร์มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ก้าวสู่ผู้นำนวัตกรรมสุขภาพ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น

‘บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล’ เปิดยุทธศาสตร์มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ก้าวสู่ผู้นำนวัตกรรมสุขภาพ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น

‘บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล’ หรือ TMAN หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพชั้นนำของประเทศไทย เดินยุทธศาสตร์สู่ผู้นำนวัตกรรมสุขภาพที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น วางกลยุทธ์นำเสนอนวัตกรรมเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีคุณภาพ พร้อมขยายพอร์ตโฟลิโอเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่ม มุ่งลงทุนขยายกำลังการผลิตและเทคโนโลยีภายในโรงงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และรับแผนขยายฐานกลุ่มลูกค้าองค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “TMAN”) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิต และ/หรือจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพชั้นนำของประเทศไทย ที่นำเสนอนวัตกรรมเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผ่านการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ภายใต้การผลิตด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยและได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล เพื่อมอบผลิตภัณฑ์ทั้งการรักษา และการป้องกันโรค ในทุกช่วงวัยของผู้บริโภค ที่มีเครือข่ายกลุ่มลูกค้าองค์กรหลากหลายและครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยากว่า 50 ปี โดยมีวิสัยทัศน์ “มุ่งมั่นขับเคลื่อนนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน” โดยวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมสุขภาพ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ 2.รับจ้างผลิตเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก (OEM/ODM) และ 3.จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก

ขณะที่ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของกลุ่มบริษัทฯ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม  ได้แก่ 1.ยาแผนปัจจุบัน แบ่งเป็น ยาสามัญ (Generic drugs) และยาสามัญใหม่ (New generic drugs) ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ และแบรนด์ของบุคคลภายนอก เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ Myda ยาฆ่าเชื้อรา รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราที่มีอาการอักเสบและ/หรืออาการคันร่วมด้วย เป็นต้น 2.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ได้แก่ ยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเพื่อสุขภาพจากสมุนไพรและสารสกัดจากธรรมชาติภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ และแบรนด์ของบุคคลภายนอก เช่น  กลุ่มผลิตภัณฑ์ Propoliz กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลและช่วยบรรเทาอาการทางช่องปากและลำคอ เป็นต้น 3.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัย ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ Vita-C ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินซี เป็นต้น และเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ เช่น Nevtral cream ครีมสำหรับผื่น แพ้ คัน เป็นต้น 4.ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอื่นๆ ได้แก่ 1) อุปกรณ์และวัสดุทางการแพทย์ เพื่อรักษา บรรเทาและป้องกันการเจ็บป่วย เช่น  Dr.Temp แผ่นเจลลดไข้ เป็นต้น และ 2) สินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อดูแลสุขภาพทั่วไปทุกวัย ที่ไม่ใช่เวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น Polar ที่มีทั้งสเปรย์ปรับอากาศและโฟมล้างมือ เป็นต้น

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีคุณภาพ ทั้งในกลุ่มเวชภัณฑ์ยาและกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน โดยมีแบรนด์ของตนเองที่ประสบความสำเร็จและถือเป็น “Products Champion” 5 แบรนด์ ได้แก่ 1) แบรนด์  Propoliz  ผลิตภัณฑ์ผสมสารสกัดโพรโพลิส (Propolis extract) จากธรรมชาติ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ 2) แบรนด์ไอยรา ยาน้ำแก้ไอผสมสารสกัดสมุนไพรที่ไม่มีแอลกอฮอล์ 3) แบรนด์ Myda ยาแผนปัจจุบันซึ่งมีคุณสมบัติรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อที่มีอาการอักเสบ และ/หรืออาการคันร่วมด้วย 4) แบรนด์ IBUMAN ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และ 5) แบรนด์ Vita-C เป็นหนึ่งในแบรนด์วิตามินเสริมภูมิคุ้มกันที่ได้รับความนิยมในกลุ่มแม่และเด็กและนักท่องเที่ยวต่างชาติ  ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ ได้พัฒนาต่อยอดไปยังผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง” นายประพล กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMAN กล่าวว่า อ้างอิงจาก Krungsri Research ทิศทางอุตสาหกรรมยายังมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง จากแนวโน้มการจำหน่ายยาในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2566 – 2568  คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโต 5-6% ต่อปี เนื่องจากทิศทางของเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ  ส่งผลให้ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการมากขึ้น ตลอดจนการเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ ส่งผลให้ความต้องการบริโภคยาเพิ่มขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการจำหน่ายยาผ่านโรงพยาบาลจะเติบโตเฉลี่ยที่ 6.3 % ต่อปี ขณะที่มูลค่าการจำหน่ายผ่านร้านขายยา (OTC) จะเติบโตเฉลี่ยที่ 5.0 % ต่อปี

ขณะที่ความต้องการด้านเวชภัณฑ์ยาภายหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ผู้บริโภคปรับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพมากขึ้น เพื่อป้องกันโรคต่างๆ  ประกอบกับประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ และการเข้าสู่สังคมเมืองทำให้ต้องเผชิญมลภาวะและขาดการออกกำลังกาย ทำให้ความต้องการยาเสริมภูมิคุ้มกันหรือป้องกันโรคเพิ่มขึ้น กลุ่มบริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และจัดหาผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ด้านสุขภาพและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิ ยาน้ำแก้ไอมะแว้ง ไลท์ สูตรไม่มีน้ำตาล (กล่องสีขาว) เหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องระมัดระวังเรื่องระดับน้ำตาลและผู้สูงอายุ

นายธนัท พลอยดนัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์ TMAN กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์เวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีความหลากหลาย และแบรนด์ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 กลุ่มบริษัทฯ เป็นเจ้าของแบรนด์เวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รวมทั้งสิ้น 221 แบรนด์ และนำเข้าหรือจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอกอีก 18 แบรนด์ รวมทั้งสิ้นกว่า 804 ผลิตภัณฑ์ (SKUs) และมีเครือข่ายกลุ่มลูกค้าองค์กรเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งครอบคลุมทั้งร้านขายยา โรงพยาบาล คลินิกเวชกรรมและเสริมความงาม ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีโรงงานผลิตยาแผนปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอาง ได้แก่ โรงงานผลิต ที.แมน ฟาร์มา และโรงงานผลิต เฮเว่น เฮิร์บ มีศักยภาพการผลิตที่มีจุดเด่นได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตระดับสากล  มาตรฐานหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต (GMP PIC/S) มาตรฐานหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการกระจายยา (GDP PIC/S) มาตรฐานห้องปฏิบัติการระดับสากล ISO 17025 และการรับรองมาตรฐานอื่นๆ

ทั้งนี้กลุ่มบริษัทฯ วาง 8 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน  ได้แก่ 1) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและนวัตกรรมใหม่ ครอบคลุมทั้งกลุ่มเวชภัณฑ์ ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับการรักษากลุ่มโรคสำคัญ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ พร้อมกับมุ่งสร้างมาตรฐานการสกัดสารสกัดจากธรรมชาติภายใต้ NatureCeutical  ตลอดจนการสรรหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  2) ขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต  โดยวางแผนลงทุนขยายกำลังการผลิต เช่น การติดตั้งเครื่องจักรสำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและสร้างการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) เป็นต้น 3) สรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ โดยกลุ่มบริษัทฯ มีแผนจะขยายทีมเภสัชกร นักวิทยาศาสตร์ อีกทั้งมุ่งขยายทีมเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายเพื่อสามารถเข้าถึงลูกค้าองค์กรกว้างขวางมากขึ้น 4) การมุ่งเน้นสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างได้รับการยอมรับผู้บริโภค โดยจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการและการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค นำเสนอจุดขายของผลิตภัณฑ์ทำให้แบรนด์แตกต่างและมุ่งสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 5) การขยายธุรกิจจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก เพิ่มนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย พร้อมทั้งปรับโครงสร้างฝ่ายขายและขยายทีมเจ้าหน้าที่ขาย 6) การขยายฐานลูกค้ากลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล โดยมุ่งพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม 7)  มุ่งขยายการจัดจำหน่ายตลาดต่างประเทศ โดยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ ผ่านการสรรหาผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ 8) การขยายธุรกิจรับจ้างผลิต (ODM/OEM) โดยใช้ศักยภาพโรงงานที่ได้รับรองมาตรฐานการผลิตระดับสากล ผลิตผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอื่นๆ  ภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก

นายตรัส อบสุวรรณ  ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ  TMAN กล่าวว่า เพื่อรองรับการขยายฐานลูกค้าได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศกลุ่มบริษัทฯ มีแผนการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างและ/หรือติดตั้งเครื่องจักร ซึ่งประกอบด้วย
  1. ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานผลิต ที.แมน ฟาร์มา โดยลงทุนติดตั้งเครื่องจักรและระบบการผลิตยาแผนปัจจุบันประเภท เม็ด น้ำ และครีมเพิ่มเติม คาดว่าทั้ง 2 ส่วนจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2567
  2. โครงการปรับปรุงและขยายศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมทั้งลงทุนอุปกรณ์เครื่องมือวิจัย คาดว่าจะเปิดใช้งานได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2567
  3. โครงการก่อสร้างคลังสินค้าและอาคารสำนักงานของบริษัท เฮเว่น เฮิร์บ จำกัด รวมถึงการปรับปรุงที่ดินและติดตั้งระบบ
  4. โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสมุนไพร สำหรับสายการบรรจุผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในโรงงานผลิต เฮเว่น เฮิร์บ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2567
  5. โครงการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ของบริษัท เฮเว่น เฮิร์บ จำกัด โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งทำให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทของแข็ง (Solid Dosage Form) ได้
  6. โครงการพัฒนาระบบงานขายบนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มการทำงานส่วนงานขายให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อผ่านระบบดังกล่าว
  7. โครงการปรับปรุงมาตรฐานการผลิตโดยลงทุนในเครื่องมือควบคุมคุณภาพการผลิตยาแผนปัจจุบัน และ
  8. โครงการปรับปรุงสายการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร